วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553





ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์



รัชกาลที่ 1-3 (สมัยฟื้นฟูประเทศ พ.ศ.2325-2394)







เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2325 และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีใหม่จากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออก(ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา)และสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีขึ้น ณ ที่แห่งนี้
เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงย้ายราชธานี
พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้งสองด้าน คือ วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง)และวัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) จึงยากแก่การขยายพระราชวัง
ความไม่เหมาะสมด้านภูมิประเทศ เนื่องจากฝั่งตะวันตกหรือราชธานีเดิมเป็นท้องคุ้ง อาจถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งพังได้ง่าย แต่ฝั่งตะวันออก(กรุงเทพ)เป็นแหลมพื้นดินจะงอกอยู่เรื่อยๆ
ความไม่เหมาะสมในการขยายเมืองในอนาคต พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่มกว้างขวาง สามารถขยายตัวเมืองไปทางเหนือและตะวันออกได้
กรุงธนบุรีไม่เหมาะทางด้านทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ กล่าวคือ มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง เปรียบเสมือนเมืองอกแตก เมื่อใดข้าศึกยกทัพมาตามลำน้ำก็สามารถตีถึงใจกลางเมืองได้ง่าย




เมืองหลวงใหม่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์บริเวณ เมืองหลวงใหม่ เดิมเรียกว่า บางกอก หรือปัจจุบันคือกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีใหม่ของไทย สร้างขึ้นโดยเลียนแบบอยุธยา กำหนดพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ
บริเวณ
พระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย วังหลวง วังหน้า วัดในพระบรมมหาราชวัง(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)และรวมทั้งทุ่งพระสุเมรุท้องสนามหลวง
บริเวณที่อยู่อาศัยภายในกำแพงเมือง อาณาเขตกำแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปราการสร้างขึ้นตามแนวคลองรอบกรุง ได้แก่ คลองบางลำภู และคลองโอ่งอ่าง
บริเวณที่อยู่อาศัยภายนอกกำแพงเมือง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีบ้านเรือนราษฏรตั้งอยู่ด้านนอกของคลองรอบกรุง มีคลองขุดในรัชกาลที่ 1คือ
คลองมหานาค




การปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น




ในสมัยรัชกาลที่ 1-3 พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ การจัดระเบียบการปกครองยังคงยึดถือตามแบบอย่างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีดังนี้




การปกครองส่วนกลาง มีเสนาบดีทำหน้าที่บริหารราชการ ได้แก่
- สมุหกลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ทั้งทหารและพลเรือน มียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยามหาเสนา ใช้ตราคชสีห์ เป็นตราประจำตำแหน่ง
- สมุหนายก มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งกิจการทหารและพลเรือนเทียบเท่ากระทรวงมหาดไทยในปัจจุบัน มียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยาจักรี หรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต ใช้ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง
- เสนาบดีจตุสดมภ์ เป็นตำแหน่งรองลงมา ประกอบด้วย -กรมเวียง หรือกรมเมือง เสนาบดี คือ พระยายมราช มีหน้าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร -กรมวัง เสนาบดี คือ พระยาธรรมา มีหน้าที่ดูแลพระราชวังและตั้งศาลชำระความ -กรมคลังหรือกรมท่า เสนาบดี คือ พระยาราชภักดี, พระยาศรีพิพัฒน์ หรือพระยาพระคลังมีหน้าที่ด้านการเงิน การคลัง และการต่างประเทศ -กรมนา เสนาบดี คือ พระยาพลเทพ มีหน้าที่ดูแลไร่นาหลวง และเก็บภาษีข้าว




การปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือ
- หัวเมืองฝ่ายเหนือ (รวมทั้งหัวเมืองอีสาน)อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหนายก หัวเมืองฝ่ายเหนือแบ่งฐานะตามระดับความสำคัญ ดังนี้ -หัวเมืองชั้นใน(หัวเมืองจัตวา) อยู่ไม่ห่างไกลจากราชธานี มีเจ้าเมือง หรือ "ผู้รั้ง"เป็นผู้ปกครอง -หัวเมืองชั้นนอก(เมืองชั้นตรี โท เอก) มีขุนนางชั้นสูงหรือพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครสวรรค์ พิจิตร ฯลฯ
- หัวเมืองฝ่ายใต้ อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหกลาโหม นับตั้งแต่เมืองเพชรบุรีลงไปจนถึงนครศรีธรรมราช ไชยา พังงา ถลาง และสงขลา เป็นต้น มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอกทั้งสิ้น
- หัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย เป็นหัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ สาครบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฯลฯ อยู่ในความรับผิดชอบของพระคลังหรือกรมท่า


การปกครองประเทศราช
- ฐานะของประเทศราช
คือ เมืองของชนต่างชาติต่างภาษา มีกษัตริย์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง มีหน้าที่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนดและส่งทหารมาช่วยเมื่อเมืองหลวงมีศึกสงคราม
- ประเทศราชของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีทั้งดินแดนล้านนา ลาว เขมรและหัวเมืองมลายู ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงแสน หลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ เขมร ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน ฯลฯ




การปรับปรุงกฏหมายและการศาล
กฏหมายตราสามดวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯให้รวบรวมและชำระกฏหมายเก่าที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และคัดลอกไว้ 3 ฉบับ ทุกฉบับประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และตราบัวแก้ว จึงเรียกว่ากฏหมายตราสามดวง
กฏหมายตราสามดวง หรือประมวลกฏหมายรัชกาลที่ 1 ใช้เป็นหลักปกครองประเทศมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ก่อนที่จะมีการปฏิรูปกฏหมายไทยและการศาลให้เป็นระบบสากล






การรับอารยธรรมตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 4 ทรงมีโอกาสได้ศึกษาความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ของประเทศตะวันตก ตั้งแต่ในครั้งที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ โดยเฉพาะการศึกษา ภาษาละติน และภาษาอังกฤษ อีกทั้งมีโอกาสได้คุ้นเคยกับพ่อค้าชาวตะวันตก จึงทำให้ทรงทราบสถานการณ์ของโลกในขณะนั้นเป็นอย่างดี


แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกในขณะนั้น สรุปได้ 2 ประการ คือ
- ความเจริญก้าวหน้าในความรู้และวิทยาการของโลกตะวันตก เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับบ้านเมือง จึงสมควรที่คนไทยจะได้เรียนรู้ไว้
- การเผชิญหน้ากับภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศมหาอำนาจตะวันตกกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเข้ารุกรานในอินเดีย จีน และพม่าสมควรที่ไทยต้องเร่งรีบปรับปรุงประเทศให้เข้มแข็งและเจริญก้าวหน้า เพื่อป้องกันมิให้ถูกบีบบังคับหรือข่มเหงเหมือนประเทศอื่นๆ





การพัฒนาทางการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5
รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเพื่อช่วยในการบริหารราชการแผ่นดินในปี 2417 ดังต่อไปนี้
การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินจำนวน 12 คน ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาข้อราชการแผ่นดินแด่พระมหากษัตริย์
การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ประกอบด้วยสมาชิก 99 คน ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในพระองค์
ในปี พ.ศ.2427(ร.ศ.103) ได้มีเจ้านายและขุนนางข้าราชการกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก ได้เสนอคำกราบบังคมทูลความเห็นเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยชี้ให้เห็นว่าการจะรักษาเอกราชของชาติได้นั้น จะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นแบบพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วย แต่ควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจะต้องทำการปฏิรูปการปกครองเสียก่อน ดังนั้นในปี พ.ศ.2430 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์โรปการเสด็จไปศึกษาและดูงานเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะเสนาบดีตามแบบยุโรปที่ประเทศอังกฤษและหลังจากนั้นไม่นานก็มีการปฏิรูปการปกครองขึ้นในประเทศไทย

การปฏิรูปการเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 6
- การเกิดกบฏ "ร.ศ.130" ในปี พ.ศ.2454 (ร.ศ.130) ซึ่งประกอบด้วยนายทหารและพลเรือน ซึ่งเรียกตัวเองว่า คณะพรรค ร.ศ.130 ต่อมาเรียกว่า ร.ศ.130 โดยมี ร.อ.เหล็ง ศรีจันทร์ (ขุนทวยหาญพิทักษ์) เป็นหัวหน้า สาเหตุสำคัญของกลุ่มกบฏนี้ คือ ต้องการให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าโดยเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นแบบประชาธิปไตย โดยกฏหมายรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ แต่ต้องประสบกับความล้มเหลวในที่สุด
- การจัดตั้งดุสิตธานี เมืองจำลองประชาธิปไตย หลังเกิดกบฏ ร.ศ.130 รัชกาลที่ 6 ได้ตั้งเมืองจำลองประชาธิปไตยขึ้นชื่อว่าดุสิตธานี การปกครองในเมืองดุสิตธานีก็ดำเนินรอยตามแบบประชาธิปไตย คือ มีการเลือกตั้ง "นครภิบาล" ซึ่งเปรียบได้กับ "นายกเทศมนตรี"นคราภิบาลจะต้องได้รับการเลือกตั้งจากเชษฐบุรุษมาก่อน เชษฐบุรุษ เปรียบได้กับ สมาชิกเทศบาล ซึ่งจะต้องได้รับการเลือกจาก "ทวยนาคร" หรือปวงประชานั้นเอง


รัชกาลที่ 7 - ปัจจุบัน


การปรับปรุงการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 7


- ทรงมีแนวคิดแบบประชาธิปไตย ดังเห็นได้จากพระราชกรณียกิจดังต่อไปนี้
ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีสภา เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
- โปรดเกล้าฯให้อภิรัฐมนตรีสภา ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้ง "สภากรรมการองคมนตรี" เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือขอราชการซึ่งพระราชทานลงมาให้ศึกษา และที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปรึกษา
- ทรงจัดตั้งเสนาบดีสภา เพื่อเตรียมคนให้รับผิดชอบร่วมกันทั้งคณะให้เหมือนคณะรัฐมนตรีแบบตะวันตก เช่นเดียวกับเสนาบดีสภาในสมัย ร.5
- ทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภาวางรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปเทศบาล
- พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีวิสารวาจา และนายเรย์มอนด์ บี.สตีเวนส์ คิดร่าง "รัฐธรรมนูญ" ตามพระราชดำริแต่ขณะเดียวกันแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 7 ที่เตรียมการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพระราชทานต่อปวงชนชาวไทยนั้น ได้รับการคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา เพราะเกรงว่าประชาชนยังไม่พร้อม จึงทำให้การเตรียมการต้องชะงักลง เป็นผลให้คณะราษฏรเป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด








การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และผลกระทบ
ในเดือนมีนาคม 2489 นายปรีดี พยมยงศ์ ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่นายปรีดี เข้าบริหารงานของประเทศได้ไม่ทันไรก็เกิดปัญหาร้ายแรงของประเทศ กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดลเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เนื่องจากต้องอาวุธปืน รัฐบาลนายปรีดี ซึ่งได้ขอความเห็นชอบต่อสภาฯ ในการกราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป
ปัญหาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลต้องอาวุธปืนนั้น รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ดำเนินการสอบสวนแต่ก็ไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุของปัญหานั้นได้ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่แท้จริงได้ ประกอบกับประชาชนและพรรคฝ่ายค้านต่างก็พากันตำหนิรัฐบาลอย่างรุนแรง นายปรีดี พนมยงค์ จึงแสดงความรับผิดขอบโดยการกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งแทน เมื่อเดือน สิงหาคม 2489



ความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับนานประเทศ


2.1 ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับประเทศใกล้เคียงอย่างแน่นแฟ้นโดยเฉพาะประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ทั้ง 5 ประเทศนี้ ได้ร่วมมือกันจัดตั้งสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสมาคมอาเซียน( Association of Southeast Asian Nation : ASEAN) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ คือ ร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจและสนับสนุนนโยบายเป็นกลาง ไม่ผูกพันกับค่ายหรือฝ่ายใด สำหรับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสังคมนิยม ประเทศไทยก็ได้พยายามรักษาความสัมพันธ์อันดี ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ระหว่างประเทศ และ พ.ศ.2527 บรูไนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มอาเซียนอีกประเทศหนึ่ง


2.2 ความสัมพันธกับกลุ่มประเทศตะวันตก ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศตะวันตกหลายด้าน เช่น โครงการร่วมมือทางด้านวิชาการ เพื่อการพัฒนาประเทศ และเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในต่างประเทศ ส่วนด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีบทบาททางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศเหล่านี้เป็นเวลานาน ไทยส่งสินค้าหลายชนิดไปขายในประเทศยุโรปตะวันตก และประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ดีบุก น้ำตาล ยางพารา สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ ที่ไทยสั่งซื้อจากประเทศตะวันตกและสหรัฐอเมริกา ได้แก่ สินค้าประเภทเครื่องจักร และสินค้าประเภทกึ่งสำเร็จรูปเพื่อนำมาป้อนโรงงานในประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีบทบาทผูกพันกับองค์การค้าระหว่างประเทศบางแห่ง ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มประเทศตะวันตก เช่น คณะมนตรีดีบุกระหว่างประเทศ (Interntional Tin Council) และองค์การน้ำตาลระหว่างประเทศ (International Agreement)


2.3 ความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศสังคมนิยม ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศสังคมนิยมไม่มากนักที่มาติดต่อค้าขายกันในระยะหลังเท่านั้น แต่ปัจจุบันประเทศไทยสนใจที่จะให้มีความร่วมมือในด้านวิทยาการต่างๆ กับประเทศสังคมนิยมมากขึ้น เช่น ได้มีข้อตกลงร่วมกับประเทศโรมาเนีย ในอันที่จะร่วมมือกันในด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาการและวิชาการ นอกจากนี้ยังได้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีการแลกเปลี่ยนทางด้านวิชาการและวัฒนธรรม เช่น ได้ส่งนาฏศิลป์มาแสดงในประเทศไทยหลายครั้งตั้งแต่ พ.ศ.2515 และนำเอาโบราณวัตถุที่มีค่ามาแสดงให้คนไทยได้ชม และใน พ.ศ. 2518 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้นได้ไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย สำหรับประเทศสหภาพโซเวียตก็ได้มีความร่วมมือกับไทยทางด้านวัฒนธรรมเช่นกัน เช่น การส่งคณะบัลเลย์มาแสดงในประเทศไทย เป็นต้น











แบบทดสอบ
แบบทดสอบความรู้ออนไลน์
แบบทดสอบวรนารีเฉลิม





1. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.ใด

พ.ศ.2323

พ.ศ.2535

พ.ศ.2325

พ.ศ.2012



2. กรุงธนบุรีไม่เหมาะทางด้านทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ เพราะมีแม่นำใดไหลผ่านกลางเมือง

แม่นำปิง

แม่นำเจ้าพระยา

แม่นำกลอง

แม่นำวัง



3. เมืองหลวงใหม่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นโดยเลียนสมัยใด

สมัยธนบุรี

สมัยกรุงศรีอยุธยา

ไม่เลียนแบบสมัยใด

ไม่มีข้อใดถูก



4. บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย ส่วนใดบ้าง

วังหลวง

วังหน้า

วัดในพระบรมมหาราชวัง

ถูกทุกข้อ



5. คลองรอบกรุง มีคลองขุดในรัชกาลที่ 1คือ คลองใด

คลองมหานาค

คลองแสนแสบ

คลองขุด

ถูกทุกข้อ



6. การปฏิรูปการเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 6 เกิดกบฏขึ้นใน ร.ศ.ใด

ร.ศ.100

ร.ศ.120

ร.ศ.130

ร.ศ.140



7. รัชกาลใดที่สร้างเมืองจำลองประชาธิปไตยชื่อว่าดุสิตธานี ขึ้น

รัชกาลที่2

รัชกาลที่5

รัชกาลที่6

รัชกาลที่7



8. รัชกาลใดที่เปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นแบบประชาธิปไตย

รัชกาลที่1

รัชกาลที่3

รัชกาลที่5

รัชกาลที่7



9. การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีจำนวน สมาชิกกี่คน

6

10

15

12



10. ประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมได้แก่ประเทศใดบ้าง

มาเลเซีย

อินโดนีเซีย

สิงคโปร์

ถูกทุกข้อ





ผลคะแนน =

เฉลยคำตอบ:







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น